ให้บริการเกี่ยวกับรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า น้ำมัน และแก๊ส ในด้านการขาย เช่า ซ่อม อะไหล่ และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร โดยทางบริษัทขอแจ้งรายละเอียดในเรื่องสินค้าและบริการดังนี้ -บริการซ่อมบำรุงรถโฟล์คลิฟท์(forklift repair)ทั้งระบบไฟฟ้า น้ำมัน แก๊ส -บริการตรวจเช็คและบำรุงรักษารถโฟล์คลิฟท์(P.M.forklift)รายเดือนและรายปีฯลฯ Email:pcnforklift@hotmail.com, Tel: 086-5182510, ID:LINE pcnforklift06 หรือ @pcnforklift
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ระบบเครื่องยนต์
ระบบเครื่องยนต์เป็นต้นกำเนิดพลังการขับเคลื่อน ภายในเครื่องยนต์ จะมีอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานประสานกัน เป็นจังหวะ ตามที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ สำหรับรถยนต์ทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าเป็นเครื่องยนต์ ประเภท ขับเคลื่อนล้อหน้าแล้ว โดยมากจะวางเครื่องในลักษณะแนวขวาง แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์ ประเภทขับเคลื่อนล้อหลัง จะวางเครื่องในลักษณะแนวตรง |
หากมองตามลักษณะการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รถที่ใช้น้ำมันเบ็นซินเป็นเชี้อเพลิง เรียกเครื่องยนต์ชนิดว่า “เครื่องยนต์แก๊สโซลีน” (Gasoline Engine) และรถที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เรียกว่า “เครื่องยนต์ดีเซล” (Diesel Engine) อาจเรียกกันง่ายๆ ว่าเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลก็ไม่ว่ากัน เครื่องยนต์ในปัจจุบัน ใช้ลักษณะการจุดระเบิดในกระบอกสูบ เพื่อทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ไปในแนวตรงกันข้าม และด้านล่างของลูกสูบ ก็จะต่อกับก้านสูบ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งของก้านสูบ ก็จะต่อกับเพลาข้อเหวี่ยงอีกที เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ไปมาในแนวลูกสูบ ก็จะมีผลให้ไปดึงเพลาข้อเหวี่ยงหมุนไปด้วย ยิ่งเคลื่อนที่เร็วเท่าไหร่ เพลาข้อเหวี่ยง ก็จะหมุนเร็วมากขึ้นเท่านั้น แรงหมุนนี้เองที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ในระบบรถยนต์ ลักษณะการทำงานแบบนี้เองที่เรียกว่า เครื่องยนต์ชนิดลูกสูบชัก จะพบว่า บริษัทผลิตเครื่องยนต์ อาจมีเทคโนโยลี การผลิต ที่แตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้น การออกแบบเครื่องยนต์ ก็แตกต่างกัน เป็นธรรมดา เครื่องยนต์บางแบบถูกออกแบบ ให้วางแนวกระบอกสูบ แตกต่างกันไป เช่น จัดวางกระบอกสูบแบบเรียง แบบตัววี แบบแนวนอน เป็นต้น |
แบบตัววี
|
แบบเรียง
|
ระบบเครื่องยนต์เป็นต้นกำเนิดพลังการขับเคลื่อน ภายในเครื่องยนต์ จะมีอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานประสานกัน เป็นจังหวะ ตามที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ สำหรับรถยนต์ทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าเป็นเครื่องยนต์ ประเภท ขับเคลื่อนล้อหน้าแล้ว โดยมากจะวางเครื่องในลักษณะแนวขวาง แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์ ประเภทขับเคลื่อนล้อหลัง จะวางเครื่องในลักษณะแนวตรง |
หากมองตามลักษณะการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รถที่ใช้น้ำมันเบ็นซินเป็นเชี้อเพลิง เรียกเครื่องยนต์ชนิดว่า “เครื่องยนต์แก๊สโซลีน” (Gasoline Engine) และรถที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เรียกว่า “เครื่องยนต์ดีเซล” (Diesel Engine) อาจเรียกกันง่ายๆ ว่าเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลก็ไม่ว่ากัน เครื่องยนต์ในปัจจุบัน ใช้ลักษณะการจุดระเบิดในกระบอกสูบ เพื่อทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ไปในแนวตรงกันข้าม และด้านล่างของลูกสูบ ก็จะต่อกับก้านสูบ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งของก้านสูบ ก็จะต่อกับเพลาข้อเหวี่ยงอีกที เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ไปมาในแนวลูกสูบ ก็จะมีผลให้ไปดึงเพลาข้อเหวี่ยงหมุนไปด้วย ยิ่งเคลื่อนที่เร็วเท่าไหร่ เพลาข้อเหวี่ยง ก็จะหมุนเร็วมากขึ้นเท่านั้น แรงหมุนนี้เองที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ในระบบรถยนต์ ลักษณะการทำงานแบบนี้เองที่เรียกว่า เครื่องยนต์ชนิดลูกสูบชัก จะพบว่า บริษัทผลิตเครื่องยนต์ อาจมีเทคโนโยลี การผลิต ที่แตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้น การออกแบบเครื่องยนต์ ก็แตกต่างกัน เป็นธรรมดา เครื่องยนต์บางแบบถูกออกแบบ ให้วางแนวกระบอกสูบ แตกต่างกันไป เช่น จัดวางกระบอกสูบแบบเรียง แบบตัววี แบบแนวนอน เป็นต้น |
แบบตัววี
|
แบบเรียง
|
WWW.PCNFORKLIFT.COM
เซนเซอร์ความเร็วรถยนต์ (Speed Sensor)
เซนเซอร์นี้มีหน้าที่ส่งสัญญาณตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยง ตำแหน่งเพลาราวลิ้น ความเร็วรถยนต์ไปให้กับ ECU/ECM ประกอบด้วยเซนเซอร์ดังนี้
เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาราวลิ้น (สัญญาณ G)
สัญญาณตำแหน่งเพลาข้อราวลิ้นจะทำให้ ECU/ECM ทราบว่าสูบไหนที่อยู่ในตำแหน่งอัดเพื่อใช้กำหนดการฉีดน้ำมันของหัวฉีด และจังหวะการเปิดปิดวาล์ว
เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยง (สัญญาณ NE)
สัญญาณ NE เป็นสัญญาณตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยงที่ส่งให้ ECU/ECM เพื่อให้ทราบความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (RPM) และการเผาไหม้ที่ผิดปกติของเครื่องยนต์
สัญญาณ NE ที่ขาดช่วงไปเนื่องจากตำแหน่งนั้นโรเตอร์ไม่มีเฟืองอยู่ เพื่อให้ ECU/ECM ใช้อ้างอิงตำแหน่งของเพลาข้อเหวี่ยงสัญญาณ NE เมื่อนำมารวมกับสัญญาณ G (G22) ทำให้ ECU/ECM ทราบถึงตำแหน่งและระยะชักของลูกสูบ
เซนเซอร์ความเร็วรถยนต์ (Vehicle Speed Sensor-VSS)
มีหน้าที่ตรวจจับความเร็วรถยนต์เพื่อใช้ในการตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ควบคุมความเร็วรอบเดินเบา (Idle Speed Control) และควบคุมอัตราส่วนผสมของอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะเร่งเครื่องหรือเบาเครื่องยนต์ เซนเซอร์ตัวนี้จะวัดสัญญาณจากเพลาส่งกำลังด้านท้ายเกียร์(Transmission or Transaxe) เพื่อวัดความเร็วของรถยนต์ นอกจากนี้ ECU/ECM ยังใช้สัญญาณนี้ในการวิเคราะห์การทำงานของเครื่องยนต์ขณะเริ่มต้นด้วย
สัญญาณ VSS นี้จะมีลูกแบบวิธีการส่งไปให้ ECU/ECM แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการออกแบบ ในรถยนต์บางรุ่นที่ติดตั้งระบบเบรก ABS จะใช้สัญญาณจากความเร็วล้อรถกับสัญญาณความเร็ว ไปให้มาตรวัดรวม(Combination Meter) แล้วถึงจะส่งไปให้ ECU/ECM ดังรูป
เซนเซอร์ VSS ที่ติดตั้งอยู่บริเวณเพลาส่งกำลัง (Transaxle)
เซนเซอร์ตรวจจับความเร็วรถยนต์มีอยู่ 4 แบบ คือ
เซนเซอร์วัดความเร็วแบบขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า จะติดตั้งอยู่บริเวณเสื้อเกียร์เพื่อตรวจจับความเร็วของเพลาส่งกำลัง ประกอบด้วย
เซนเซอร์ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าทำงานโดยใช้หลักการขดลวดปิคอัพ (Pickup Coil) ซึ่งประกอบด้วย แม่เหล็กถาวร(Magnet) ขดลวด (coil) และแกนขดลวด(Core) โดยติดตั้งอยู่ใกล้กับฟันของเฟือง เมื่อเพลาของเกียร์หมุนจะทำให้โรเตอร์หมุนไปด้วย แต่ละครั้งที่ฟันเฟือง(โรเตอร์) หมุนผ่านเซนเซอร์จะเหนี่ยวนำให้เกิดลูกคลื่นแรงกระแสสลับ AC ขึ้นที่ขดลวด ถ้าความเร็วของรถยนต์สูง เฟืองก็จะหมุนเร็วลูกคลื่นที่ได้ก็จะมากตามไปด้วย แต่ถ้าความเร็วของรถยนต์ต่ำลูกคลื่นที่ได้ก็จะน้อยลง จำนวนรูปคลื่นที่ได้ต่อวินาทีก็คือสัญญาณความถี่ (signal frequency)นั่นเอง ความถี่นี้จะถูกส่งไปให้กับ ECU
2. เซนเซอร์ความเร็วแบบ MRE (Magnetic Resistance Element-MRE)
เซนเซอร์ตรวจจับความเร็วรถยนต์แบบใช้สาร MRE ซึ่งเป็นสารที่เปลี่ยนค่าความต้านทานตามความเข้มของสนามแม่เหล็ก จะติดตั้งอยู่ที่เพลาส่งกำลังด้านท้ายเกียร์ ประกอบด้วยวงจรไฮบริด (Hybrid Integrated Circuit) และวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Ring) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
3. เซนเซอร์ความเร็วแบบรีดสิวทช์ (Reed Switch Type)
แบบรีดสวิตช์ (Reed Switch Type) ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังหน้าปัดบริเวณที่ต่อสายไมล์ เมื่อสายไมล์หมุนกลไกตรวจจับความเร็วที่มีแม่เหล็กอยู่ก็จะหมุนตามไปด้วย ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไปดึงดูดให้รีดสวิทช์เปิดปิดเมื่อสายไมล์หมุน 1 รอบจะได้สัญญาณไฟฟ้า 4 ครั้ง สัญญาณนี้จะถูกส่งไปให้ ECU เพื่อใช้เป็นข้อมูลความเร็วของรถยนต์
4. เซนเซอร์ความเร็วแบบใช้ชุดตรวจจับแสง (Photo Coupler Type)
ในขณะที่ซี่ล้อ(Slotted wheel) หมุนโดยแรงขับจากสายไมล์(speedometer cable) ทุกครั้งที่ช่องว่างของซี่ล้อตรงกับตำแหน่งตรวจจับแสงซึ่งมีไดโอดเปล่งแสง(LED) อยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นโฟโตทรานซิสเตอร์ (Photo Transistor) จะทำให้โฟโตทรานซิสเตอร์นำกระแสไฟฟ้า และจะหยุดนำกระแสไฟฟ้าเมื่อซี่ล้อหมุนมาบังแสง ดังนั้นสัญญาณที่ได้จึงเป็นลักษณะ ON-OFF โดยจะทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้า 20 คลื่นต่อการหมุนของสายไมล์หรือซี่ล้อหนึ่งรอบ หลังจากนั้นจะถูกเปลี่ยนให้เหลือ 4 คลื่นโดยมาตรวัดดิจิตอล(Digital Meter) ก่อนส่งไปให้ ECU
- เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาราวลิ้น/G Pickup Coil (สัญญาณ G)
- เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยง/NE Pickup Coil (สัญญาณ NE)
- เซนเซอร์ความเร็วรถยนต์/Speed Sensor (สัญญาณ SPD)
เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาราวลิ้น (สัญญาณ G)
สัญญาณตำแหน่งเพลาข้อราวลิ้นจะทำให้ ECU/ECM ทราบว่าสูบไหนที่อยู่ในตำแหน่งอัดเพื่อใช้กำหนดการฉีดน้ำมันของหัวฉีด และจังหวะการเปิดปิดวาล์ว
เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยง (สัญญาณ NE)
สัญญาณ NE เป็นสัญญาณตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยงที่ส่งให้ ECU/ECM เพื่อให้ทราบความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (RPM) และการเผาไหม้ที่ผิดปกติของเครื่องยนต์
สัญญาณ NE ที่ขาดช่วงไปเนื่องจากตำแหน่งนั้นโรเตอร์ไม่มีเฟืองอยู่ เพื่อให้ ECU/ECM ใช้อ้างอิงตำแหน่งของเพลาข้อเหวี่ยงสัญญาณ NE เมื่อนำมารวมกับสัญญาณ G (G22) ทำให้ ECU/ECM ทราบถึงตำแหน่งและระยะชักของลูกสูบ
เซนเซอร์ความเร็วรถยนต์ (Vehicle Speed Sensor-VSS)
มีหน้าที่ตรวจจับความเร็วรถยนต์เพื่อใช้ในการตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ควบคุมความเร็วรอบเดินเบา (Idle Speed Control) และควบคุมอัตราส่วนผสมของอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะเร่งเครื่องหรือเบาเครื่องยนต์ เซนเซอร์ตัวนี้จะวัดสัญญาณจากเพลาส่งกำลังด้านท้ายเกียร์(Transmission or Transaxe) เพื่อวัดความเร็วของรถยนต์ นอกจากนี้ ECU/ECM ยังใช้สัญญาณนี้ในการวิเคราะห์การทำงานของเครื่องยนต์ขณะเริ่มต้นด้วย
สัญญาณ VSS นี้จะมีลูกแบบวิธีการส่งไปให้ ECU/ECM แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการออกแบบ ในรถยนต์บางรุ่นที่ติดตั้งระบบเบรก ABS จะใช้สัญญาณจากความเร็วล้อรถกับสัญญาณความเร็ว ไปให้มาตรวัดรวม(Combination Meter) แล้วถึงจะส่งไปให้ ECU/ECM ดังรูป
เซนเซอร์ VSS ที่ติดตั้งอยู่บริเวณเพลาส่งกำลัง (Transaxle)
เซนเซอร์ตรวจจับความเร็วรถยนต์มีอยู่ 4 แบบ คือ
- เซนเซอร์วัดความเร็วแบบขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Pickup Type)
- เซนเซอร์ความเร็วแบบ MRE (Magnetic Resistance Element-MRE)
- เซนเซอร์ความเร็วแบบรีดสิวทช์ (Reed Switch Type)
- เซนเซอร์ความเร็วแบบใช้ชุดตรวจจับแสง (Photo Coupler Type)
เซนเซอร์วัดความเร็วแบบขดลวดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า จะติดตั้งอยู่บริเวณเสื้อเกียร์เพื่อตรวจจับความเร็วของเพลาส่งกำลัง ประกอบด้วย
- แม่เหล็กถาวร (Magnet)
- ขดลวด (Coil)
- แกนขดลวด (Core)
- โรเตอร์ (Rotor)
เซนเซอร์ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าทำงานโดยใช้หลักการขดลวดปิคอัพ (Pickup Coil) ซึ่งประกอบด้วย แม่เหล็กถาวร(Magnet) ขดลวด (coil) และแกนขดลวด(Core) โดยติดตั้งอยู่ใกล้กับฟันของเฟือง เมื่อเพลาของเกียร์หมุนจะทำให้โรเตอร์หมุนไปด้วย แต่ละครั้งที่ฟันเฟือง(โรเตอร์) หมุนผ่านเซนเซอร์จะเหนี่ยวนำให้เกิดลูกคลื่นแรงกระแสสลับ AC ขึ้นที่ขดลวด ถ้าความเร็วของรถยนต์สูง เฟืองก็จะหมุนเร็วลูกคลื่นที่ได้ก็จะมากตามไปด้วย แต่ถ้าความเร็วของรถยนต์ต่ำลูกคลื่นที่ได้ก็จะน้อยลง จำนวนรูปคลื่นที่ได้ต่อวินาทีก็คือสัญญาณความถี่ (signal frequency)นั่นเอง ความถี่นี้จะถูกส่งไปให้กับ ECU
2. เซนเซอร์ความเร็วแบบ MRE (Magnetic Resistance Element-MRE)
เซนเซอร์ตรวจจับความเร็วรถยนต์แบบใช้สาร MRE ซึ่งเป็นสารที่เปลี่ยนค่าความต้านทานตามความเข้มของสนามแม่เหล็ก จะติดตั้งอยู่ที่เพลาส่งกำลังด้านท้ายเกียร์ ประกอบด้วยวงจรไฮบริด (Hybrid Integrated Circuit) และวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Ring) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
- ชนิดส่งสัญญาณออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้า
- ชนิดความต้านทานปรับค่าได้
2.1 ชนิดส่งสัญญาณออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้าเมื่อวงแหวนแม่เหล็กหมุน(Magnetic Ring) จะได้สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับออกมาจากวงจรไฮบริด MRE ขา 2 และ 4 และถูกส่งให้กับวงจรเปรียบเทียบแรงดันไฟฟ้า(Comparator) เพื่อเปลี่ยนสัญญาณกระแสสลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล แล้วส่งไปให้มาตรวัดรวม(Combination Meter) เพื่อแปลงเป็นสัญญาณความถี่ก่อนส่งไปให้ ECU
3. เซนเซอร์ความเร็วแบบรีดสิวทช์ (Reed Switch Type)
แบบรีดสวิตช์ (Reed Switch Type) ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังหน้าปัดบริเวณที่ต่อสายไมล์ เมื่อสายไมล์หมุนกลไกตรวจจับความเร็วที่มีแม่เหล็กอยู่ก็จะหมุนตามไปด้วย ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไปดึงดูดให้รีดสวิทช์เปิดปิดเมื่อสายไมล์หมุน 1 รอบจะได้สัญญาณไฟฟ้า 4 ครั้ง สัญญาณนี้จะถูกส่งไปให้ ECU เพื่อใช้เป็นข้อมูลความเร็วของรถยนต์
4. เซนเซอร์ความเร็วแบบใช้ชุดตรวจจับแสง (Photo Coupler Type)
ในขณะที่ซี่ล้อ(Slotted wheel) หมุนโดยแรงขับจากสายไมล์(speedometer cable) ทุกครั้งที่ช่องว่างของซี่ล้อตรงกับตำแหน่งตรวจจับแสงซึ่งมีไดโอดเปล่งแสง(LED) อยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นโฟโตทรานซิสเตอร์ (Photo Transistor) จะทำให้โฟโตทรานซิสเตอร์นำกระแสไฟฟ้า และจะหยุดนำกระแสไฟฟ้าเมื่อซี่ล้อหมุนมาบังแสง ดังนั้นสัญญาณที่ได้จึงเป็นลักษณะ ON-OFF โดยจะทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้า 20 คลื่นต่อการหมุนของสายไมล์หรือซี่ล้อหนึ่งรอบ หลังจากนั้นจะถูกเปลี่ยนให้เหลือ 4 คลื่นโดยมาตรวัดดิจิตอล(Digital Meter) ก่อนส่งไปให้ ECU
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555
อะไหล่โฟร์คลิฟท์
อะไหล่โฟร์คลิฟท์
แผ่นเพลท ระบุยี่ห้อรถ โมเดลและรุ่นของรถ ซึ่งใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ใช้ในการสอบถามอะไหล่ของรถโฟร์คลิฟท์
ปลั๊กแบตเตอรี่แบตเตอรี่ ซึ่งเราต้องรู้ขนาดของแอป์และโวลด์ที่เราต้องการด้วย
ด้านในของTorque converter
Torque converter
RELAY AND FLASHER
Controlboard หรือ แผงบอร์ดควบคุมของโฟร์คลิฟท์
WWW.PCNFORKLIFT.COM
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
hall senser
ตัวรับรู้ฮอลล์ (Linear Hall sensor)
รูปที่ 1 ตัวรับรู้ฮอลล์
input voltage 4.5-6V offset voltage 2.5 V (ประมาณ) sensitivity 13 V/T |
รูปที่ 2 การต่อตัวรับรู้ฮอลล์กับแหล่งจ่ายไฟกระแสตรงและโวลต์มิเตอร์
รูปที่ 3 การวัดความเข้มของสนามแม่เหล็ก
B = (Vout (B) - Vout (O) ) S-1 เมื่อ Vout (O) เป็น Vout (B) เป็น S เป็น B เป็น |
ปรากฏการณ์ฮอลล์ (Hall Effect)
รูป 1 ก-ค แสดงการเกิดปรากฏการณ์ฮอลล์
รูป 2 การวัดความต่างศักย์ฮอลล์ VH
ที่มา : รังสรรค์ ศรีสาคร สาขาวิชาฟิสิกส์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)